วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การทดลองทางวิทยาศาสตร์


วีดีโอเสริมความรู้


เกร็ดน่ารู้


 
 อาหาร 10 อย่าง ที่ควรมีไว้ในตู้เย็น

          อาหารประเภทไหนที่ควรมีไว้ในตู้เย็น วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาบอก...

น้ำเปล่า

          "น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ

ผัก

          "ผัก" ถือ เป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

ไข่ไก่

          "ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

นม

          "นม" ใน ที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีน ซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง

เนื้อปลา

          "เนื้อปลา" เพราะ โปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสารอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท ดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

ผลไม้รสเปรี้ยว

          "ผลไม้" ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

โยเกิร์ต

          "โยเกิร์ต" มี วิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตแต่ละรสและยี่ห้อนั้นๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด

แอปเปิ้ล

          "แอปเปิ้ล" มีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบต้าแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม

ถั่ว

          "ถั่ว" ถือ เป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล
ธัญพืช

          "ธัญพืช" จำพวก ข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข้าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำข้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้ จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มาก ทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำให้เกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ระบบย่อยอาหาร

                                                                       ระบบย่อยอาหาร
1. ปาก
          เป็นอวัยวะแรกที่อาหารเคลื่อนเข้าสู่ระบบย่อยอาหาร ภายในปากประกอบด้วย ฟัน ซึ่งจะบดเคี้ยวให้อาหารมีขนาดเล็กลง ลิ้นและน้ำลายที่จะทำหน้าที่คลุกเคล้าอาหารให้เข้ากัน และต่อมน้ำลาย จะผลิตน้ำลาย ซึ่งมีเอนไซม์ชื่อ อะไมเลส ที่จะสามารถย่อยแป้ง ให้เป็น น้ำตาล
 



 

2. กระเพาะอาหาร
          โดยอาหารจะเคลื่อนจากปากมาสู่กระเพาะอาหารโดยผ่านหลอดอาหาร ที่จะบีบตัวให้อาหารเคลื่อนที่ลงมาสู่กระเพาะอาหารได้ อาหารจะถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลง โดยน้ำย่อยและการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหาร อาหารที่ถูกย่อยจกกระเพาะอาหารแล้วจะมีลักษณะเหลวนิ่มเป็นส่วนที่ย่อยอาหารต่อจากปาก อาหารจะถูกคลุกเคล้าอยู่ในกระเพาะด้วยการหดตัว และคลายตัวของกล้ามเนื้อที่แข็งแรงของกระเพาะ โปรตีนจะถูกย่อยในกระเพาะ โดยน้ำย่อยเพปซิน ซึ่งย่อยพันธะบางชนิดของเพปไทค์เท่านั้น ดังนั้นโปรตีนที่ถูกเพปซินย่อยส่วนใหญ่จึงเป็นพอลิเพปไทค์ที่สั้นลงส่วนเรนนินช่วยเปลี่ยนเคซีน (Casein) ซึ่งเป็นโปรตีนในน้ำนมแล้วรวมกับแคลเซียมทำให้มีลักษณะเป็นลิ่มๆจากนั้นจะถูกเพปซินย่อยต่อไปในกระเพาะอาหาร น้ำย่อยลิเพสไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากมีสภาพเป็นกรด โดยปกติอาหารจะอยู่ในกระเพาะอาหารนาน 30 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารนั้นๆ กระเพาะอาหารก็มีการดูดซึมอาหารบางชนิดได้ แต่ปริมาณน้อยมาก เช่น น้ำ แร่ธาตุ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว กระเพาะอาหารดูดซึมแอลกอฮอล์ได้ดี อาหารโปรตีน เช่น เนื้อวัว ย่อยยากกว่าเนื้อปลา ในการปรุงอาหารเพื่อให้ย่อยง่าย อาจใช้การหมักหรือใส่สารบางอย่างลงไปในเนื้อสัตว์เหล่านั้น เช่น ยางมะละกอ หรือสับปะรด




 





3. ล้ำไส้เล็ก 
          หลังจากที่กระเพาะอาหารย่อยอาหารจนมีลักษณะเหลวนิ่มแล้ว ก็จะถูกสิ่งต่อมาที่ลำไส้เล็ก ซึ่งที่นี่สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมากที่สุด น้ำย่อยในลำไส้เล็กสามารถจอย่อยอาหารได้หลายชนิด โดยน้ำย่อยจากลำไส้เล็ก น้ำย่อยจากตับอ่อน และน้ำย่อยจากตับ เมื่ออาหารถูกย่อยจนละเอียดแล้ว จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านเส้นเลือดฝอยที่อยู่บริเวณนั้นอยู่มากมาย จากนั้น อาหารบางส่วนที่ไม่สามารถย่อยได้แล้ว จะถูกส่งต่อไปยังสำไส้ใหญ่
 

4. ลำไส้ใหญ่
           อาหารที่เคลื่อนมาสู่ลำไส้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ไม่สาอวัยวะต่างๆในระบบย่อยอาหารมีดังนี้มารถย่อยได้อีกต่อไปแล้ว หรือที่เราเรียกว่า กากอาหาร ในที่ลำไส้ใหญ่นี้ จะไม่มีการย่อยเกิดขึ้น แต่จะมีการดูดซึ่มน้ำและแร่ธาตุบางอย่างจากกากอาหารสุ่ร่างกาย จากนั้น กากอาหารที่ถูกย่อยแล้วจะเคลื่อนออกจากร่างกาย ผ่านทวารหนักเป็นอุจจาระต่อไป